Cinema Line Spotlight | ยูเรนัส2324 โดยผู้กำกับ เจมส์ ธนดล และ A Witch Trial โดยผู้กำกับ Sarah-Tabea Sammel

Alpha Universe Community

FX3 + Venice 2 + BURANO

Article Banner
Author Image

โดย Alpha Universe Community

ขอต้อนรับสู่ Cinema Line Spotlight บทความรายไตรมาสที่จะนำเสนอภาพยนตร์น่าจับตามองซึ่งถ่ายทำด้วยกล้อง Cinema Line จาก Sony สำหรับไตรมาสนี้ เราขอนำเสนอภาพยนตร์อวกาศฟอร์มยักษ์ระดับมาสเตอร์พีซเรื่อง ยูเรนัส2324 และภาพยนตร์สยองขวัญเชิงจิตวิทยานอกกระแสเรื่อง A Witch Trial.

Sony มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนจินตนาการของผู้กำกับทุกคนให้กลายเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ชื่อดังหรือหนังสั้นนอกกระแส กล้อง Cinema Line ระดับมืออาชีพของเราตอบโจทย์ทุกความต้องการของเหล่านักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลกด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพยนตร์ซึ่งจะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ลงสู่จอเงิน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ประเภทใด กล้อง Cinema Line ก็พร้อมช่วยให้เหล่าผู้สร้างรับมือกับโลกแห่งการถ่ายทำแบบใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคยได้ สำหรับไตรมาสนี้ เราจะมาศึกษารายละเอียดกระบวนการสร้างสรรค์เบื้องหลังภาพยนตร์อวกาศฟอร์มยักษ์ระดับมาสเตอร์พีซ ยูเรนัส2324 และภาพยนตร์สั้นนอกกระแสสัญชาติสิงคโปร์อย่าง A Witch Trial แล้วหาคำตอบกันว่ากล้อง Cinema Line มีส่วนช่วยในงานโปรดักชันของภาพยนตร์ทั้งสองนี้อย่างไร.

ภาพยนตร์น่าจับตามองเรื่องที่ 1 | ยูเรนัส2324

ยูเรนัส2324 เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกไซไฟแฟนตาซีสัญชาติไทยจากฝีมือการกำกับของเจมส์ ธนดล จากค่ายเวลเคิร์ฟ สตูดิโอ (VelCurve Studio) ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบของการสำรวจอวกาศจักรวาลคู่ขนาน ตลอดจนความรักที่ข้ามเวลาและมิติ โดยบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของ “ลิน” นักบินอวกาศหญิง รับบทโดย “ฟรีน” สโรชา จันทร์กิมฮะ และ “แคท” สาวนักดำน้ำฟรีไดฟ์ รับบทโดย “เบ็กกี้” รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง ยามที่คนทั้งคู่ท้าทายกาลเวลาและห้วงอวกาศเพื่อหาทางกลับมาพบกัน

เราได้พูดคุยกับผู้อำนวยการสร้าง คีตะวัฒน์ ชินโคตร และผู้กำกับภาพ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ จากค่ายเวลเคิร์ฟ สตูดิโอ เพื่อเจาะลึกกระบวนการผลิตภาพยนตร์เรื่องยูเรนัส2324 ที่ถ่ายทำด้วยกล้อง VENICE 2 และ BURANO นี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความท้าทายอะไรบ้าง

ตอบได้เลยว่า คือ ฉากอวกาศต่าง ๆ เพราะเราคุ้นเคยและเชี่ยวชาญกับฉากใต้น้ำอยู่แล้ว แต่อวกาศเป็นอะไรที่เราไม่เคยรับมือมาก่อน เราต้องคิดหาวิธีการทำงานในแบบของเราเอง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องบทหนังเท่านั้น หนังเรื่องนี้ต้องใช้ทั้งอุปกรณ์เฉพาะทางและ Visual Effect เพราะเราสื่อสารเนื้อเรื่องส่วนใหญ่โดยใช้ภาพ

อีกหนึ่งเรื่องยากคือ การตามซีนแอ็กชันต่อเนื่องให้ทัน เนื่องจากลักษณะการเดินเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เราต้องเข้าไปใกล้นักแสดงในระหว่างซีนแอ็กชันต่อเนื่อง เพื่อดึงผู้ชมให้เข้าไปอยู่ในเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ โชคดีที่เรามีกล้อง VENICE Extension System 2 ซึ่งช่วยให้เราจับภาพซีนโคลสอัพพวกนี้ได้ง่ายมาก สิ่งที่ต้องทำมีแค่สวมตัวกล้องไว้ที่หลังเหมือนสะพายกระเป๋าเป้โดยมีสายต่อตรงไปที่ตัวเลนส์ ซึ่งทำให้การถ่ายทำสะดวกขึ้นมาก ๆ เพราะเราสามารถตามจับภาพการเคลื่อนไหวได้อย่างใกล้ชิดขณะที่นักแสดงเคลื่อนที่ไปมา

กล้อง Cinema Line มีส่วนช่วยในโปรดักชันของคุณอย่างไรบ้าง

เราคำนึงถึงความเข้มข้นและความสลับซับซ้อนในการถ่ายทำเรื่องยูเรนัส2324 ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ VENICE 2 และ BURANO เป็นกล้องในกองถ่าย กล้อง Cinema Line เหมาะมากสำหรับการถ่ายทำหนังที่เน้น Visual Effect หนัก ๆ เพราะเป็นกล้องที่มีช่วงไดนามิกสูงสำหรับซีนที่มีแสงน้อยและรองรับการทำงานร่วมกับกล้องหลายตัวเพื่อการย้อมสีที่ลื่นไหล

เราเลือก VENICE 2 เป็นกล้องหลักสำหรับซีน Visual Effect ใต้น้ำและในอวกาศ เพราะมีโคเดก XOCN XT ที่มี RAW แบบ 16 บิต ซึ่งเป็นอัตราบิตสูงสุดที่ช่วยให้ขั้นตอน Post-Production มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สำหรับกล้อง B cam เราเลือกใช้ BURANO เพราะประสิทธิภาพในสภาพแสงน้อยและความคล่องตัวในการใช้งาน ซึ่งช่วยให้เราสามารถเก็บฟุตเทจได้จากหลากหลายมุม ยิ่งไปกว่านั้น โคเดก X-OCN LT ของ BURANO ยังเป็น RAW แบบ 16 บิต ซึ่งทำให้การจับคู่สีกับฟุตเทจที่ถ่ายทำด้วย VENICE 2 เป็นเรื่องง่ายในกระบวนการโพสต์โปรดักชัน

เนื่องจากเวลเคิร์ฟ สตูดิโอ (VelCurve Studio) เชี่ยวชาญด้าน Post-Production ด้วย เราจึงค่อนข้างพิถีพิถันในการเลือกไฟล์กล้อง กล้อง Cinema Line ช่วยให้งานของเราง่ายขึ้นในทุก ๆ ด้าน ทำให้เราสามารถเกลี่ยสีซีนที่ย้อนแสงมาก ๆ ซึ่งถ่ายตรงชายหาดและซีนในร่มได้อย่างไม่มีที่ติ นอกจากนี้ เรายังเก็บภาพฟุตเทจได้โดยมีเสียงรบกวนต่ำด้วย

พวกเราดีใจที่ตัดสินใจเลือกใช้กล้อง Cinema Line เพราะมันช่วยให้ทีมงานไม่ต้องพะวงเรื่องพื้นฐานทางเทคนิค และหันไปจดจ่อกับการบอกเล่าเรื่องราวดี ๆ ด้วยภาพได้อย่างเต็มที่

ภาพยนตร์น่าจับมองเรื่องที่ 2 | A Witch Trial

A Witch Trial เป็นภาพยนตร์สั้นดราม่าสยองขวัญเชิงจิตวิทยา ผลงานการกำกับ เขียนบท และอำนวยการสร้างโดย Sarah-Tabea Sammel ซึ่งเล่าเรื่องราวของ Raaka นักธุรกิจสาวเก่งที่ชอบสงสัยในตัวเองผู้ถูกหุ้นส่วนธุรกิจทรยศขณะติดอยู่ในลิฟต์ขนส่งสินค้าและเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เธอนึกสงสัยความสามารถในการเป็นผู้นำของตนเอง

เพราะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างการตีตราบาปผู้หญิงในประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดกับการจ้องจับผิดที่ผู้หญิงสมัยใหม่ต้องเผชิญในโลกธุรกิจ Sarah-Tabea จึงสร้างภาพยนตร์สั้นสะเทือนอารมณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถต่อสู้ผู้กดขี่ของตนได้อย่างไรเพื่อเอาสิ่งที่ถูกพรากไปกลับคืนมา เราได้พูดคุยกับ Sarah-Tabea เพื่อเจาะลึกเกี่ยวกับการวางไอเดียเริ่มต้นและโปรดักชันของภาพยนตร์เรื่องนี้

อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณถ่ายทำ กำกับ และอำนวยการสร้าง A Witch Trial

ตอนที่ค้นคว้าหาข้อมูล ฉันพบว่าผู้หญิงจำนวนมากรวมถึงตัวฉันด้วยรู้สึกกดดันที่จะต้องหานิยามให้ตัวเองล่วงหน้า เพื่อปกป้องตัวเองจากคำตัดสินของผู้อื่นที่จะยิ่งทำให้ความไม่เท่าเทียมและความแบ่งแยกระหว่างเพศเพิ่มขึ้น การเซ็นเซอร์ตัวเองแบบนี้และการถูกบ่อนทำลายความมั่นใจทำให้ผู้หญิงมากมายจมดิ่งลงในสถานการณ์ที่ยิ่งทวีความเลวร้าย รู้สึกกังขาคุณค่าในตัวเอง จำกัดการเติบโต และกีดขวางความสามารถในการฝึกใจดีกับตัวเอง การที่ฉันตั้งคำถามเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ตนเองของผู้หญิงและอคติต่าง ๆ ที่ฝังรากลึกอยู่คือสิ่งที่เติมไฟให้ความหลงใหลในโปรเจกต์นี้ของฉัน ฉันใช้ลิฟต์ขนส่งสินค้ามาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าผู้หญิงจำกัดตัวเองทางร่างกายและจิตใจอย่างไร โดยให้ตัวละครเอกติดอยู่ในกล่องลิฟต์

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความท้าทายอะไรบ้าง

เราเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เวลา และงบประมาณ ไม่ต่างจากหนังสั้นนอกกระแสเรื่องอื่น ๆ สิ่งที่ฉันวางแผนไว้คือ เราจะถ่ายทำกันในลิฟต์ขนส่งสินค้าจริงเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกสมจริงตอนที่ตัวละครเอกมีอาการแพนิครุนแรง ซึ่งเป็นซีนที่มีความซับซ้อนและใช้เวลาถ่ายทำนานมาก สภาพแสงที่น้อยสุด ๆ และข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวร่างกายเวลาทำงานในพื้นที่ลิฟต์แคบ ๆ ที่มีแสงสะท้อนถือเป็นเรื่องท้าทายมาก แต่แทนที่จะหมดกำลังใจ เราก็พยายามหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ เรารู้ว่าเราต้องการอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อทำงานให้สำเร็จและหาไอเดียสำหรับภาษาภาพและเสียงที่จะนำข้อจำกัดที่เรามีอยู่มาใช้เป็นหลักในการเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการถ่ายทำ

กล้อง Cinema Line มีส่วนช่วยในโปรดักชันของคุณอย่างไรบ้าง

เราถ่ายทำ A Witch Trial ด้วยชุดกล้องคู่ โดยมี BURANO เป็นกล้องหลักและ FX3 เป็นกล้องรอง กล้องชุดนี้ไม่ได้แค่สร้างประสบการณ์ภาพยนตร์ที่มีภาพสวย ๆ เท่านั้น แต่ยังเอื้อให้เราใช้ภาพในการแสดงถึงความเป็นจริงในช่วงเวลาสำคัญได้แบบไม่เหมือนใครด้วย เช่น อาการแพนิคของ Raaka เราถ่ายซีนอาการแพนิคนี้ด้วยเทคนิค Lens whacking (โดยแยกตัวกล้องออกจากเลนส์) ตามคำแนะนำของผู้กำกับภาพเพื่อเล่าเรื่องด้วยภาพแบบนามธรรม วิธีนี้ทำให้การแสดงออกมาดูสมจริงมากขึ้น แต่ละช็อตดูแตกต่างกันชัดเจนและเป็นธรรมชาติ

ผู้กำกับภาพของเรารู้สึกว่า BURANO ช่วยในการควบคุมภาพได้อย่างดีเยี่ยม โดยทำให้เขาสามารถสร้างความลึกของโทนสีได้ผ่านทางวิธีที่กล้องจับภาพแสงโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ปรับแสงมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในพื้นที่ถ่ายทำที่จำกัดสำหรับหนังเรื่องนี้ ส่วน FX3 ช่วยให้เขาถือกล้องถ่ายทำได้อย่างยืดหยุ่นร่วมกับเทคนิค Lens whacking พร้อมทั้งรักษาสีสันและโทนสีเดิมไว้ได้ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งสีของเราอยู่ในสหราชอาณาจักร ทีมของเราจึงไม่สามารถมายืนรวมตัวกันรอบจอมอนิเตอร์เพื่อให้ฟีดแบ็กได้ แต่ Cinema Line มีประสิทธิภาพด้านการแสดงภาพที่มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอมากจนเรารู้ว่าเรากำลังเกลี่ยสีและดูหนังสั้นเรื่องเดียวกันอยู่

โดยรวมแล้ว Cinema Line เป็นระบบกล้องที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก ในฐานะของผู้สร้างหนังนอกกระแส ฉันกับทีมงานคอยเสาะหาอุปกรณ์ที่เหมาะกับกระบวนการทำงานที่มีข้อจำกัดสูงของเราอยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจที่สุดคือ การที่ทีมงาน Sony ใส่ใจกับความต้องการของนักสร้างหนังนอกกระแสอย่างจริงจัง พวกเขาตอบสนองฟีดแบ็กของผู้ใช้งานในวงการนี้อย่างสม่ำเสมอ พยายามทำความเข้าใจวิธีที่พวกเขาสามารถสนับสนุนการทำงานของเราได้อย่างกระตือรือร้น การมีส่วนร่วมในระดับนี้มีประโยชน์มหาศาลตลอดกระบวนการสร้างหนังของเรา

Cinema Line Spotlight ประจำไตรมาสนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ โปรดติดตามครั้งต่อไป!

 
Products Featured
Product Features

FX3

กล้อง Full-frame 4K ขนาดเล็กพิเศษ

Product Features

Venice 2

กล้องถ่ายภาพยนตร์ Full-frame พร้อมระบบการบันทึก X-OCN

Product Features

BURANO

กล้องถ่ายภาพยนตร์ Full-frame ให้ความคล่องตัวในการถ่ายทำ

โซเชียลมิเดีย